บทที่ 10
ซือลั่วจัดเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงควักเงินทั้งหมดออกมา ปิ่นปักผมขายไปหกตำลึง วันนี้นางใช้เงินไปหนึ่งตำลึงกว่ากับทั้งของจำเป็นและของเล็กๆ น้อยๆ แต่ในบ้านยังมีของที่ต้องซื้อเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก พวกโต๊ะเก้าอี้และม้านั่งอย่าพึ่งไปพูดถึงชั่วคราวแล้วกัน เพราะตอนนี้การทำรถเข็นของเว่ยฉงซีต้องมาก่อน
ยังมีผ้าปูเตียงและผ้าห่มอีกด้วย ผ้าห่มของนางเป็นแค่ผ้าฝ้ายขาดๆ แถมยังสกปรกจนไม่เป็นรูปร่างแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของร่างเดิมทนไปได้อย่างไร สำหรับเว่ยฉงซี นางไม่เคยเข้าไปในห้องของเขา ทว่าดูจากที่เขาสวมใส่อยู่ตอนนี้ เสื้อผ้ามันขาดจนแทบจะไม่ต่างจากขอทานแล้ว
นางนับเหรียญทองแดงที่เหลือ รวมทั้งหมดเป็นหนึ่งร้อยสามเหรียญ ตอนนี้นางเหลือเงินเพียงสี่ตำลึงเงินกับอีกหนึ่งร้อยสามเหรียญทองแดงเท่านั้น
เงินไม่พอใช้จริงๆ ดูเหมือนว่านางจะต้องรีบคิดวิธีหาเงินแล้ว
ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ซือลั่วเก็บข้าวของให้เรียบร้อย แล้วนำถังไม้แตกๆ หนึ่งใบมาใส่น้ำร้อน หาผ้าที่ดูสะอาดหน่อยมาชุบน้ำแล้วยื่นให้เว่ยฉงซี "เช็ดหน้าซะ แผลของเจ้าอีกสักครู่ข้าจะดูให้"
ครั้งนี้เว่ยฉงซีเชื่อฟังมาก เช็ดหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย ทั้งยังยื่นมือออกมาอีก ซือลั่วพันผ้าพันแผลให้เขาใหม่อีกครั้ง แล้วใช้แรงกายทั้งหมดของนางเพื่อจะดันเขาเข้าไปห้อง ทว่าดันไปได้เพียงครึ่งทางก็ดันต่อไม่ไหวแล้ว
เว่ยฉงซีกล่าวว่า "ข้าคลานเข้าไปเอง!"
ซือลั่วพยักหน้า แต่เมื่อรอจนเว่ยฉงซีลงมาทำท่าจะคลานเข้าไปจริงๆ ทันใดนั้นนางก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ในสายตานาง บุรุษรูปงามผู้มีเกียรติสูงส่งเช่นนี้ไม่ควรต้องคลานไปบนพื้นเพื่อเข้าห้องดังเช่นตอนนี้
นางเดินไปแบกเว่ยฉงซีขึ้นมาไว้บนหลังโดยไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
เว่ยฉงซีหนักมาก ซือลั่วโซเซไปมาสองครั้งแล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยความยากลำบาก ย้ายเขาไปไว้บนเตียงแบบทุลักทุเล นางเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อออกไปทั้งตัว
เว่ยฉงซีไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างปรากฏในดวงตาของเขา เขารู้สึกว่าตัวเขาเองเป็นคนเย็นชาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าบัดนี้ ตั้งแต่วินาทีที่ร่างผอมบางของซือลั่วแบกเขาไว้บนหลัง จิตใจของเขากลับปั่นป่วนอย่างอธิบายไม่ถูก
ซือลัวตามหาตะบันไฟมาจุดตะเกียง แม้ว่าแสงสว่างจะสลัว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งห้องสว่างไสว
ซือลั่วมองไปรอบๆ ห้องของเว่ยฉงซีสะอาดมาก แต่โกโรโกโสไปหน่อย เมื่อเทียบกับห้องของนางแล้วนางถือว่าดูหรูหราเลยทีเดียว
ภายในห้องมีเพียงโต๊ะพังๆ หนึ่งตัว กาน้ำชาที่ปากบิ่นหนึ่งใบ และชามที่ขอบบิ่นอีกหนึ่งใบ
อย่างน้อยบนเตียงของนางยังมีผ้าห่ม ทว่าบนเตียงของเว่ยฉงซีกลับมีเพียงเศษผ้าขาดๆ ชิ้นหนึ่ง เป็นเพียงแค่เศษผ้าที่เห็นสีไม่ชัดเจนแล้วหนึ่งชิ้นจริงๆ
ทันใดนั้นความทรงจำบางอย่างก็ปรากฏเข้ามา ซือลั่วจำได้ว่าตอนที่พวกเขาพึ่งมาถึงที่นี่ เว่ยฉงซีก็นอนอยู่บนเตียงเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว บนตัวนอกจากจี้หยกหนึ่งชิ้นกับกระบี่หนึ่งเล่มก็ไม่มีอะไรอีก
เจ้าของร่างเดิมมีสินส่วนตัวอยู่บ้าง ทว่านางเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบคุณหนูไปแล้ว ชั่วพริบตาก็ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายจนหมด ต่อมานางยืนกรานที่จะขายกระบี่และจี้หยกของเว่ยฉงซี ส่วนนางขายไปให้ใครขายไปเท่าไหร่ นางไม่มีความทรงจำแล้ว
ซือลั่วจึงยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจเว่ยฉงซีมากขึ้นไปอีก เว่ยฉงซีก็มองเห็นความรู้สึกนั้นในดวงตาของนางเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า "อย่ามองข้าเช่นนี้ เดี๋ยวข้าจะคิดว่าเจ้ากลายเป็นคนอื่นไปแล้ว"
ซือลั่วชะงัก รู้สึกผิดขึ้นมาทันที "เจ้าอย่าพูดไร้สาระ ข้าจะกลายเป็นคนอื่นไปได้ยังไง จะเป็นไปได้ยังไง!"
“ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย” เว่ยฉงซีกล่าวพร้อมกับหรี่ตาลง
ซือลั่วมองไปที่เขา แต่เขาไม่ได้มองมาที่นาง แต่ย้ายตัวเองไปที่เตียงด้านใน
นางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในใจคิดว่านางมีปฏิกิริยามากเกินไปแล้ว
“ข้าไปพักผ่อนก่อนแล้ว" ซือลั่วพูดจบก็วิ่งออกจากห้องไป
เว่ยฉงซีมองดูเงาจากด้านหลังของนาง แววตาจมดิ่งลึกลงไปอย่างเงียบงัน
ซือลั่วกลับไปที่ห้องแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกจับได้แล้ว ท่านอ๋องน้อยเว่ยฉลาดยิ่งนัก
นางชะล้างร่างกายตนเอง เหนื่อยจนแทบจะล้มทั้งยืน พอหัวทิ่มหมอนก็หลับไปเลยโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
...
